เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ พ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ เราก็หวังที่พึ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ จะได้ครองราชย์สมบัติอยู่แล้ว ไปชมสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย

ถามอำมาตย์ว่า “มันเป็นอย่างนั้นไหม”

ถามว่า “นั่นคืออะไร” เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายน่ะ

คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ พระเจ้าสุทโธทนะปรนเปรอขนาดที่ว่า คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ไม่รู้จักได้อย่างไร คนเราเกิดมาโดยสามัญสำนึกมันก็รู้ได้ แต่คนมันได้รับการปรนเปรอจนไม่เห็นสภาวะแบบนั้นเลย

แต่เวลามาเห็น คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นหรือ”

คำว่า “เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นหรือ” นี่สำคัญ !

เห็นคนอื่นเป็นมันไม่สำคัญหรอก แต่เวลาเราเป็น เวลาเราทุกข์เรายาก เราเป็นของเราเห็นไหม เวลาออกแสวงหา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ? ตรัสรู้สัจธรรม สัจธรรมที่มีอยู่โดยดั้งเดิมนะ แต่คนเข้าไม่ถึงมัน

ในปัจจุบันนี้ เราเกิดเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งสัจธรรม สัจธรรมของใครล่ะ สัจธรรมของกิเลสทั้งนั้น ดูสิ สิ่งที่แปรปรวนในหัวใจของคนน่ะมันเปลี่ยนแปลง มันแปรปรวนตลอดเวลา ดีอยู่ได้ ๕ วัน เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความดีความชั่วมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราทนแรงขับของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่ได้ แต่เราไม่เห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราเห็นแต่ความพอใจของเรา

ถ้าความพอใจของเรา เราคิดสิ่งใด เราปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นความถูกต้องดีงามของเราทั้งหมด แล้วสัจธรรมเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ? ตรัสรู้สัจจะ อริยสัจสัจจะ ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปธรรมดา !” เราก็เห็นอยู่แล้ว

เปิดไฟ ปิดไฟมันก็เห็นอยู่แล้ว พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกทุกคนก็เห็นหมด แล้วก็เอามาเทียบเคียงเอา นี่เป็นสัจธรรม ! นี่เป็นสัจธรรม ! สัตว์มันก็รู้ได้ สัตว์มันก็รู้ของมันเห็นไหม เวลาหิวมันก็กินน้ำของมัน เวลาหิวมันก็หาอาหารดำรงชีพของมัน สัตว์มันก็รู้ของมัน หิวหรืออิ่มมันก็รู้ของมัน สัตว์มันก็รู้ของมัน ในธรรมชาติของมัน

สัจธรรม ! สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา ! มันดับที่ไหนล่ะ สิ่งใดมันเกิดขึ้นมันก็ดับหมด แล้วหัวใจมันเกิดขึ้น มันดับไหมล่ะ ดูสิ เวลาไฟไหม้ เราไปดับไฟไหม้บ้านคนอื่น ไอ้ไฟไหม้บ้านเรา เราไม่เห็น เห็นไหม

เวลาขี้นก.. มันขี้บนหัวคนอื่นมันเห็นหมดล่ะ ไอ้คนนั้นมีขี้บนหัว ไอ้คนนี้มีขี้บนหัว หัวเราสะอาดบริสุทธิ์.. หัวเราก็มีขี้เหมือนกัน แต่ขี้เรามองไม่เห็นไง

นี่ก็เหมือนกัน ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อะไรมันเกิด อะไรมันดับ แล้วมันเกิดที่ไหนล่ะ เวลามันเกิดที่บ้านคนอื่นก็เป็นสมบัติของคนอื่นใช่ไหม ถ้ามันเกิดที่บ้านของเรา มันเกิดในหัวใจของเราก็เป็นของเราสิ ถ้ามันเกิดในหัวใจของเรา สิ่งที่มันเกิด มันเห็นได้อย่างไร

ถ้ามันเห็นกันนะ ดูสิ ภราดรภาพ เขาบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคอมมิวนิสต์คนแรก เพราะพูดถึงเรื่องความเสมอภาค” ทุกคนก็พูดถึงเรื่องความเสมอภาค เรื่องของความเสมอภาคทางโลก เอาที่ไหนมา ดูสิ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย พอเป็นทารก กับคนแก่นี้มันเสมอภาคไหมล่ะ

กาลเวลามันกินไปตลอดเวลา มันความเสมอภาค เสมอภาคเรื่องของบุญของกรรมมันไม่มีเสมอภาคหรอก โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ใครมีอำนาจขนาดไหนมันก็พร่อง มันไม่มีวันเต็มหรอก มันเต็มไปไม่ได้ แต่ความเสมอภาคของพระอรหันต์ มันเสมอภาคตรงนั้น นั้นน่ะภราดรภาพเหมือนกัน

ดูซิ เวลาการกระทำ เราอยู่ในเมืองไทย ทุกคนเข้าสู่กรุงเทพฯ แล้วแต่ทิศทางใด ใครอยู่ภาคไหน ทุกคนเข้าสู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยของคนแต่ละบุคคลจะเข้าไปสู่สัจธรรม การเข้าสู่สัจธรรมมันมีวิธีแตกต่างหลากหลาย เพราะคนอยู่ทางภาคใต้ คนอยู่ทางภาคเหนือน่ะ การเข้าสู่กรุงเทพฯ มันคนละทางแล้ว แต่เข้าสู่กรุงเทพฯ จุดสถานที่เดียวกัน

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ จริตนิสัยของคนมันแตกต่างหลากหลาย แต่พอเข้าไปถึงสัจธรรมอันนั้น ไปถึงธรรมะอันนั้น “มันเป็นอันเดียวกัน” สิ่งที่ทำเป็นอันเดียวกัน สัจธรรมที่ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ถ้าเราอยู่ในภูมิภาคใด เราก็ว่าภูมิภาคของเรานั้นเป็นสัจธรรม ถ้าเราไม่เข้าสู่กรุงเทพฯ สัจธรรมนั้นเป็นสัจธรรมของเรานะ มันไม่ใช่สัจธรรม ภราดรภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ภราดรภาพ คือ ความเสมอภาคของพระอรหันต์ สิ่งที่จิตมันเสมอภาค มันเสมอภาคอันเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างหลากหลาย ความแตกต่างไม่มี นี่ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม !

แต่ในปัจจุบัน เราวิเคราะห์วิจัยธรรมด้วยความแตกต่างหลากหลาย วิธีการของใคร ความเห็นของใคร จิตของใคร ความรู้ของใคร มันก็ว่ากันไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความหยาบอันละเอียดนะ กามราคะ ! เวลาเกิดกามราคะเห็นไหม เรื่องโลก เรื่องกามราคะ เรื่องความเป็นไปของโลกเห็นไหม

กามฉันทะ ! ถ้าไม่มีเราจะมีกามไหม ถ้าไม่มีความคิดเราจะมีกามไหม กามมันเกิดมาจากไหน กามมันเกิดมาบนยอดไม้หรือ กามมันเกิดมาจากฟ้าหรือ กามมันเกิดมาจากใจของคนนั้นน่ะ ถ้าใจของคนไม่มีมันจะเกิดกามไหม ถ้ามันไม่มีใจของมัน มันไม่รู้สึกตัวของมันเองนะ คนสลบ คนนอนหลับมันมีกามราคะไหม ซากศพมันมีกามราคะไหม มันไม่มีทั้งนั้นล่ะ มันจะมีเพราะอะไร เพราะคนมันตื่นอยู่ เพราะมันพอใจของมันอยู่ มันมีตัวตนของมันอยู่ นี่ไงกามฉันทะ !

ถ้ามีกามฉันทะ เพราะมีเรา โอ๊ย.. รักคนนู้น รักคนนี้ มันรักตัวเองทั้งนั้นน่ะ รักเขา เมตตาเขา สงสารเขาเพราะอะไร เพราะเราเหงา เราว้าเหว่ เราไม่มีที่พึ่งไง แต่ถ้าเป็นสัจธรรมนะ ธรรมเป็นความจริงในหัวใจเห็นไหม มันไม่รักใคร ! มันไม่รักใครเลย ! ถ้าไม่รักใครทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รื้อสัตว์ขนสัตว์ล่ะ

เวลาภิกษุ ๖๑ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์” ไอ้พวกเรามันติดทั้งบ่วงโลกทั้งบ่วงทิพย์เลย ไอ้โลก ไอ้สัจจะ ไอ้หัวใจเห็นไหม โลกธรรม ๘ มันก็อยากให้เขาสรรเสริญ อยากได้ลาภสักการะ อยากไปหมดล่ะ อยากลึกๆ อยากในหัวใจ ฉันไม่อยากๆ น่ะ ไม่อยากแสดงออกทำไม ไม่อยากทำไมต้องมีการกระทำอย่างนั้น

นี่ไง บ่วงที่เป็นโลก แล้วบ่วงที่เป็นทิพย์ล่ะ ตายแล้วไปไหน โอ๊ย ! นรก สวรรค์ไม่มีหรอก แต่หัวใจเขาว้าเหว่นะ พอตายจะไปไหนก็กระเสือกกระสนไปนะ ติดบ่วงที่เป็นทิพย์ เห็นไหม

“เธอทั้งหลาย พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เดือดร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก” เห็นไหม ดูซิ กระเสือกกระสนรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าไม่ต้องการสิ่งใด รื้อสัตว์ขนสัตว์ทำไม นี่ว่าไม่ได้รักใคร รื้อสัตว์ขนสัตว์ทำไม ? มันเมตตาสงสารนะ..

เวลาจะเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันยังสังเวชเลยว่า “เอ่อ.. เป็นอย่างนี้หรือ แล้วถ้าเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราไปเป็นกษัตริย์เราก็ต้องตายเปล่าไปอย่างนี้ เราจะเอาอย่างนี้ไหม” ขนาดว่ายังไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ยังได้มีสติ ได้มีความคิด ได้มีความแสวงหา

แล้วเวลาตรัสรู้ขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สัจธรรมในหัวใจเห็นไหม เรากราบธรรม ! เรากราบธรรม ! ธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะเป็นสัจธรรม ความจริงอันนี้ แล้วทำไมไม่เผยแผ่ธรรม

ทำไมคนที่เขามีโอกาส คนที่มีอำนาจวาสนา ที่เขาสร้างบุญญาธิการของเขามีอยู่ คนที่เขามีอยู่เขามีโอกาสเข้าถึงสิ่งนี้ ดูสิ คนที่มีโอกาสเขาก็ทำความดีของเขา แล้วโอกาสนั้นเขาไม่ยอมรับ เขาจะเสียโอกาสของเขาไปไหม

คนที่สร้างบุญกุศลมา เขาสร้างมาเป็นสาวก สาวกะ สร้างบุญกุศลมา สร้างบารมีธรรมขึ้นมา มันมีอำนาสวาสนาที่มันพอที่จะเข้าสืบได้ แล้วไม่มีคนชี้บอกมัน เขาจะเสียโอกาสไป มันก็จะเสียโอกาส มันเป็นความสมควรไหม ถ้าไม่สมควร ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นเองด้วยความละเอียดอ่อนในใจ บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาปฐมยามเห็นไหม พอจิตมันสงบเข้ามา จิตเราก็ไม่รู้จัก สมาธิเราก็ไม่รู้จัก ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ อากาศก็ว่าง ! โลกนี้ก็ว่างอยู่แล้วล่ะ โลกนี้.. สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดูป่าซิ จุดไฟเข้าไปก็เป็นธรรมดา ป่าจุดไฟเผาก็หมดน่ะ ราบหมดน่ะ ป่ามันก็มี เผามันก็เกลี้ยง มันก็เกิดธรรมดาเหมือนกันน่ะ แต่มันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ นี่ไง สิ่งที่ว่า “ว่างๆ ว่างๆ” อะไรมันว่างล่ะ พอมันเข้ามาถึงหัวใจเห็นไหม ถ้าเราว่าว่าง เราก็รู้ว่าว่าง

เรามีเงินมีทอง เราก็รู้ว่าเรามีเงินมีทอง เราเป็นหนี้เป็นสิน เราก็รู้ว่าเป็นหนี้เป็นสินนะ ถ้าเราพ้นจากหนี้ เราก็รู้ว่าเราพ้นจากหนี้สินนะ เราสร้างสมบุญเงินทองขึ้น เราเก็บสะสมไว้ เราก็รู้ของเรานะ จิตก็เหมือนกันนะ ว่างๆ ว่างๆ แต่สงสัยนะ กระเป๋ามันกลวงไง ไม่มีสักสลึงน่ะ มันคิดว่ามันมีตังค์ไง

ว่างๆ ว่างๆ สิ่งต่างๆ ความเป็นไปของความประพฤติปฏิบัติมันมีหลากหลาย แต่สัจธรรมความจริงอันนั้นเห็นไหม ดูซิ วิกฤติเวลามันเกิดขึ้นมา ดูถึงมุมมองของคน บางคนมองด้วยความเศร้าใจนะ ใจของผู้เป็นธรรมน่ะ ใจของคนเป็นธรรม เรามีธรรมในหัวใจของเรา

คำว่า “มีธรรม” คือมีจุดยืน คือมีสัจจะ มีเหตุมีผล เราคิดว่า เขาคิดกันอย่างนั้นได้อย่างไร เขาคิดได้อย่างใด เราคิดไม่ถึงว่าคนมีความคิดอย่างนั้นเห็นไหม มุมมองของคนแตกต่างหลากหลาย มันอยู่ที่วุฒิภาวะสูงหรือต่ำ

ถ้าสูงหรือต่ำ พอต่ำ ดูซิกระแสโลกเห็นไหม ทุกคนบอกว่าตัวเองมีหลักมีเกณฑ์ทั้งนั้นแหละ เวลาไปเจอสินค้านะ อันนี้ลดราคา ๙๐ % โอ้โฮ.. ตะครุบเลยน่ะ ทนไม่ไหวหรอก ราคาร้อยหนึ่งนะ ลด ๙๐ % โอ้โฮ.. จำเป็นใช้หรือยังไม่จำเป็นใช้ไม่รู้เลย เอากลับไปไว้บ้านก่อน เอาไว้กราบมันไง นี่มีจุดยืนๆ แล้วทนไม่ไหว ไอ้แค่ลด ๙๐ % รีบตะครุบแล้ว แล้วตะครุบแล้วเอาไปทำไม เอาไปเก็บไว้ เอาไปรักษาไว้ จะใช้หรือไม่ใช้ยังไม่รู้เลย

แต่ถ้าคนมีจุดยืน ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งต่างๆ มันเป็นเครื่องอาศัยทั้งนั้นล่ะ ถ้ามันมีความจำเป็นเห็นไหม ดูพระเรานะ มีผ้า ๓ ผืนตลอดชีวิตนะ หมุนเวียนกันใช้อยู่นี่ ๓ ผืน ขาดก็ปะก็ชุน ถ้ามันขาดจนใช้ไม่ได้ เราก็ตัดเย็บของเราใหม่ ถือผ้า ๓ ผืนมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาถึงปัจจุบันนี้เห็นไหม ธงชัยของพระอรหันต์ ผ้ากาสาวพัสตร์เราก็ใช้ของเราอยู่อย่างนี้ มันมี ๒,๐๐๐ กว่าปี โลกหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

ถ้ามันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ถ้าเรามีจุดยืนของเรานะ ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจปัจจัยเครื่องอาศัย เราเข้าใจไม่ได้เข้าใจแบบโลกๆ ด้วย เข้าใจแบบธรรมนะ เพราะสิ่งนั้นมันมีอยู่ ถ้ามันพูดเข้าใจแบบโลกเห็นไหม อ้าว.. ก็ปล่อยวางไง ปล่อยวางก็เหมือนเซนไง พวกเซนเห็นไหม เขาแก้ผ้าเลยนั้นน่ะ เขาบอกว่าการห่มผ้าเป็นการติด

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด ท่านบอกว่า “ถ้าคนมีคุณธรรม มันจะมีความละอาย มีสมบัติผู้ดี” ถ้าสมบัติผู้ดีอะไรควรหรือไม่ควรมันก็เข้าใจ อะไรควรหรือไม่ควรแล้วไม่รู้จักจะไปแก้กิเลสที่ไหน ถ้าการจะแก้กิเลส บอกว่า “ไม่ติด..ไม่ติด” ไม่ติดแบบโลก ถ้าไม่ติดแบบธรรม สิ่งจำเป็นต้องใช้

ไม่ติดแบบธรรมเห็นไหม เราต้องมีอากาศหายใจ ร่างกายมันต้องดำรงชีวิตด้วยอาหาร อาหาร ! ภิกขาจาร บิณฑบาตเป็นวัตร บิณฑบาตพอแค่เลี้ยงชีพ เวลาภิกษุเราเป็นพระเล็กพระน้อย บิณฑบาตพอเลี้ยงชีพ แต่พอเวลาครูบาอาจารย์ท่านมีบารมีธรรมขึ้นมา ทุกคนต้องการบุญกุศลจากท่าน มันไม่ใช่บิณฑบาตมาเลี้ยงชีพ มันล้นเหลือเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องหลบ ต้องหลีก เขาเรียกว่ามันเป็นสนองศรัทธา

คำว่า “ศรัทธา” ศรัทธาของเขา.. ภิกษุทำศรัทธาไทยให้ตกร่วง หมายถึงว่า เรามีศรัทธา มีความเชื่อ ในพุทธศาสนา แต่ภิกษุเราทำให้เขาเห็นผิด ทำให้เขาโกรธ ทำให้เขาไม่พอใจในศาสนา ให้เขาขัดแย้ง ภิกษุทำศรัทธาไทยให้ตกร่วง เป็นอาบัติปาจิตตีย์

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติธรรมขึ้นมา จะรื้อจะขนสัตว์ด้วยความเมตตา ธรรมวินัยนี้บัญญัติเพื่อกดขี่คนที่หน้าด้าน เพื่อให้คนที่มีใจเป็นธรรมอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อคนที่ศรัทธาแล้วให้ศรัทธามั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อให้คนที่เขาไม่ศรัทธา ให้เขามาศรัทธาในพุทธศาสนา

คำว่า “ศรัทธาความเชื่อ” เขามีที่พึ่งที่อาศัยของเขา จิตของเขามันเร่ร่อน จิตของเขามันไม่มีที่พึ่งอาศัย ถ้าเขาศรัทธา เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขาแล้ว ให้เขามั่นคงในพุทธศาสนา คนที่เขาไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเขา เขาจะไปเป็นผลของวัฏฏะ เขาเร่ร่อนไปของเขา เขาไม่มีจุดยืนของเขา เขาจะมีความทุกข์ของเขา ให้เขามีจุดยืนของเขา เห็นไหม คนที่ไม่ศรัทธาให้เขามีศรัทธาขึ้นมา

ถ้าศรัทธาขึ้นมาเห็นไหม นี่ไง ไม่ได้รักใครเลย แต่มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมนี้มันทำไว้เพื่อโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ภราดรภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นสัจธรรม มันเป็นธรรมเห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรม

ถ้าเป็นโลก มันมีหน้าฉากหลังฉาก โลกมีหน้าฉาก มีหลังฉาก หน้าฉากก็ทำว่าสิ่งนี้เป็นสัจจะ สิ่งนี้เป็นธรรม ไอ้หลักฉากก็ตักตวงเอาผลประโยชน์ ตักตวงแต่สิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ เห็นไหม แต่ตักตวงอย่างไรก็แล้วแต่นะ กรรมมันให้ผลนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว !

ทำดีเห็นไหม ถ้าทำดีน่ะ ความดีต้องให้ผลเป็นคุณงามความดี แต่นี้เราว่าเราทำความดีกันนะ แล้วทำไมเราทุกข์เรายากอยู่อย่างนี้ ทุกคนทำความดีหมดนะ แล้วทุกคนก็ทุกข์กันอยู่ ทุกข์เพราะความดีนี่แหละ ใช่ ! ทุกข์เพราะความดี

เวลาเคี้ยวอาหาร เรากินข้าว เราก็เหนื่อยนะ เราต้องขบต้องเคี้ยวนะ นี่ก็งานนะ แต่ทำไมเราชอบทำล่ะ เวลาเราแบกหามแล้วทำไมว่ามันเป็นความทุกข์ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ความดีของเราทำเพื่อหัวใจของเรา นั่งสมาธิภาวนา นั่งหลังขดหลังแข็ง เจ็บเอว ต่างๆ เห็นไหม ปวดแข้ง ปวดขา ความดีทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ล่ะ ความทุกข์อย่างนี้เราจะแลกมาไง เราจะแลกมากับจิตที่มันสงบ จิตที่มันมีความร่มเย็นเป็นสุขไง ถ้าจิตที่มันร่มเย็นเป็นสุข เพราะจิตมันอยู่ในร่างกายนี้ จิตนี้เป็นของเราแท้ๆ เราค้นหามันไม่เจอเห็นไหม

ดูซิ เวลาขี้นก ขี้บนหัวของคนอื่นเรามองเห็น เวลาขี้บนหัวเรา เรามองไม่เห็นนะ หัวใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่างๆ ว่างๆ น่ะ พูดได้ปากเปียกปากแฉะไง แต่ไอ้ความเป็นจริงในหัวใจของเรา เราไม่เห็น มันไม่มีสันทิฏฐิโก ไม่เป็นปัจจัตตัง ไม่เป็นเครื่องยืนยัน

แต่ถ้าใครทำความสงบของใจขึ้นมา ใครมีปัญญาขึ้นมา ใครใช้ปัญญาแยกแยะกิเลสออกมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาเห็นไหม เขามีทึ่พึ่งของเขา เขามีองค์ความรู้ของเขา เขามีความมั่นคงของเขา เขาองอาจกล้าหาญ จะบุกน้ำ ลุยไฟขนาดไหน เขาจะพูดสัจธรรมด้วยความถูกต้อง

แต่ถ้าเราไม่มีสัจจะความจริงในหัวใจของเราเห็นไหม นี่ไง มันเป็นเรื่องโลกๆ เพราะอะไร โลกก็เป็นกิเลส กิเลสน่ะอวิชชา !อวิชชาในหัวใจคือมาร มันก็พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ข้างนอก แต่กิเลสมันอยู่ในหัวใจหลังฉาก

“หลังฉาก” คือตัณหาความทะยานอยาก หลังฉากคือเราไม่เข้าใจเห็นไหม พูดไปก็กลัวผิด กลัวถูก กลัวว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันทุกข์ร้อนไปหมดน่ะ แต่อยากพูดธรรมะนะ กิเลสมันอยากพูดธรรมะ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนฝนตก.. ฝนตกแดดออกตามแต่สัจธรรม ใครจะเอาหรือไม่เอามันเป็นเรื่องของเขา เวลาฝนตกขึ้นมา บ้านผู้ดี หรือทุกข์จนเข็ญใจ ถ้าฝนตกมันเสมอภาคเหมือนกันหมด ใครจะรองน้ำหรือไม่รองน้ำ มันเป็นประโยชน์ของคนที่เขาจะรับประโยชน์ของเขา สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น

นี่ไง ไม่ได้รักใคร แต่มันเป็นฤดูกาล มันเป็นสัจธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ น้ำอมตธรรมมันจะตกลงมาในพุทธศาสนา ในศาสนาธรรม ในระหว่าง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ใครจะเกิดมาในระหว่างฝนตกแดดออกอย่างนี้ จะได้ประโยชน์ขึ้นมาจากสัจธรรมอันนี้ เขาจะเอาประโยชน์ของเขา เขาจะทำของเขาได้จะเป็นประโยชน์ของเขา ใครจะทำไม่ได้มันก็ไอ้กาฝากไง กาฝากเห็นไหม ดูซิ มันเกาะต้นไม้ มันกินอาหารจากต้นไม้นั้น พอต้นไม้นั้นตายมันก็ตายด้วยนะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาในพุทธศาสนา แต่เราไม่มีสัจธรรมความจริงของเรา มันก็กาฝากในศาสนา เกิดมาในพุทธศาสนา อาศัยศาสนาเกิดขึ้นมา อาศัยศาสนาอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข แต่มันก็ไม่ทำให้มันเป็นประโยชน์ของมันขึ้นมา มันอาศัยศาสนาเฉยๆ แต่ตัวไม่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา จะเป็นธรรมภายในหัวใจ

นี่พูดถึงสัจธรรม พูดถึงความเห็นของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่พุทธศาสนาเห็นไหม

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาเราต้องมีจุดยืน ปัญญาเรา.. เราพูดบ่อย จมูกเอาไว้หายใจนะ จมูกไม่ได้เอาให้เขามาเกี่ยวไปนะ เห็นไหม ไม่ใช่ให้เขาจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ใครจูงจมูก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กาลามสูตร ! ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อความจริง”.. ในการประพฤติปฏิบัติ จิตเราเข้าถึงความจริงได้มากน้อยขนาดไหน จิตมีสติ เราก็รู้ว่าเรามีสติ เราจะไม่พลั้งเผลอสิ่งใดเลย

แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมา จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีภาวนามยปัญญาที่จะฆ่ากิเลสได้ เราจะรู้ของเราเห็นไหม เชื่อความจริงอันนี้ เชื่อความจริงที่มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา เราจะไม่ให้ใครจูงจมูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า อย่าเชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เวลาฟังเทศน์ ฟังเอาเหตุเอาผล แล้วเอาไปวิเคราะห์วิจัยว่า จริงหรือเปล่า ! พูดมาน่ะจริงหรือเปล่า ! ทดสอบ ! ทดสอบให้ได้ ! แล้วทดสอบได้..

หลวงตาท่านบอกเลย “เวลาปฏิบัติไปแล้วจะมากราบศพเรา จะมากราบศพเรา” ถ้าเข้าไปถึงจุดเดียวกัน มันจะเป็นอันเดียวกันนะ ภราดรภาพอันนั้นมันถึงจุดอันนั้นได้ แล้วภราดรภาพมันเกิดจากไหนล่ะ มันเกิดจากความรู้สึก มันเกิดจากจิตไง เกิดจากความรู้สึกทุกคนๆ ไง แล้วมันถึงเป้าหมายอันนั้นแล้วมันจะต่างกันไปไหน แล้วเราจะขืนไปไหน

เราก็ลงกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจเราจะลงแก้วสารพัดนึก แล้วเราประพฤติปฏิบัติกับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง